เด็กอายุ 6-23 เดือน ต้องการพลังงานจากอาหารตามวัย วันละเท่าไหร่? | และควรป้อนอาหารกี่มื้อในแต่ละวัน?
- Highheng Organic
- 22 มี.ค. 2562
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 3 ม.ค. 2563
เมื่อเด็กอายุ 6 เดือน ควรได้รับอาหารตามวัย (complementary foods) หรืออาหารอื่นที่นอกเหนือจากนมแม่ หรือที่เราว่า อาหารเสริมเด็ก ควบคู่ไปกับการได้รับนมแม่ จนถึงอายุ 1½ - 2 ปี ช่วงนี้ร่างกายของเด็กจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาสมอง ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 70-80 ของน้ำหนักสมองผู้ใหญ่ เด็กจึงต้องการสารอาหารมากกว่าวัยอื่น ช่วงนี้เด็กจึงต้องการพลังงานจากอาหารที่เพียงพอ จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและเพื่อรักษาสภาพสมดุลร่างกาย และมีสำรองให้ร่างกายใช้ เมื่อเด็กมีกิจกรรม เคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น หรือในยามเจ็บป่วย อาหารที่ให้พลังงานคือ ข้าว - แป้ง - ธัญพืชต่างๆ น้ำตาลและไขมันจากพืชและสัตว์
1. ความต้องการพลังงาน ต่อวันจากอาหารตามวัย (complementary foods) ของเด็กในกลุ่มอายุต่างๆ เมื่อได้รับนมแม่ปริมาณปานกลาง
เด็กอายุ 6-8 เดือน
ต้องการพลังงานในแต่ละวัน = 632 กิโลแคลอรี่
เด็กได้รับนมแม่ในปริมาณปานกลาง เด็กจะได้รับพลังงาน = 431 กิโลแคลอรี่/วัน
พลังงานจากอาหารตามวัยสำหรับเด็ก = 219 กิโลแคลอรี่/วัน
เด็กอายุ 9-11 เดือน
ต้องการพลังงานในแต่ละวัน = 702 กิโลแคลอรี่
เด็กได้รับนมแม่ในปริมาณปานกลาง เด็กจะได้รับพลังงาน = 379 กิโลแคลอรี่/วัน
พลังงานจากอาหารตามวัยสำหรับเด็ก = 323 กิโลแคลอรี่/วัน
เด็กอายุ 12-17 เดือน
ต้องการพลังงานในแต่ละวัน = 797 กิโลแคลอรี่
เด็กได้รับนมแม่ในปริมาณปานกลาง เด็กจะได้รับพลังงาน = 346 กิโลแคลอรี่/วัน
พลังงานจากอาหารตามวัยสำหรับเด็ก = 451 กิโลแคลอรี่/วัน
เด็กอายุ 18-23 เดือน
ต้องการพลังงานในแต่ละวัน = 902 กิโลแคลอรี่
เด็กได้รับนมแม่ในปริมาณปานกลาง เด็กจะได้รับพลังงาน = 346 กิโลแคลอรี่/วัน
พลังงานจากอาหารตามวัยสำหรับเด็ก = 556 กิโลแคลอรี่/วัน
2. แหล่งของอาหารที่ให้พลังงาน
กลุ่มสารอาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่ #คาร์โบไฮเดรต #ไขมัน #โปรตีน อาหารทั้งหมดในกลุ่มนี้ จัดเป็นสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกาย และจะขาดไม่ได้เลย
1. คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสำคัญแก่ร่างกาย แหล่งของคาร์โบโฮเดครต มักอยู่ในรูปของแป้ง และน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ พบมากใน ข้าว แป้ง ขนมปัง ผัก ผลไม้ นม และผลิตภัณฑ์จากนม
คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี
2. ไขมัน เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูง ประกอบด้วยกรดไขมันและกลีเซอรอล พบมากในไขมันจากพืช มันสัตว์ นม เนย ถั่ว โดยกรดไขมันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
2.1 กรดไขมันอิ่มตัว พบมากในเนื้อสัตว์ มันสัตว์ หนังสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง กุ้ง ปู นม และผลิตภัณฑ์จากนม ไขมันประเภทนี้ หากมีมากเกินไปจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตันค่ะ
2.2 กรดไขมันไม่อิ่มตัว พบมากในถั่ว เต้าหู้ เห็ด น้ำมันพืช (ยกเว้นน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม) ช่วยลดการดูดซึมไขมันอิ่มตัว ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน เราจึงเรียกกรดไขมันชนิดนี้ว่าเป็นไขมันดีนั่นเองค่ะ
ไขมัน 1 กรัม จะให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี
3. โปรตีน ช่วยการเจริญเติบโตและสร้างกล้ามเนื้อต่างๆ เด็กวัยนี้ต้องการโปรตีนวันละ 1.2-1.4 กรัมต่อน้ำหนักตัว1 กิโลกรัมต่อวัน (18-22 กรัมต่อวัน)
อาหารที่ให้โปรตีน คือ ไข่ นม เนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อปลา หมู ไก่ หรืออาจให้อาหารที่เป็นถั่วต้มเปื่อยต่างๆ เต้าหู้ ฯลฯ ที่ใช้ทดแทนอาหารเนื้อสัตว์ในบางมื้อ เด็กควรได้รับไข่วันละ1 ฟอง และได้ดื่มนมรสจืดทุกวัน คุณแม่สามารถให้อาหารที่เสริมธาตุเหล็กโดยปรุงอาหาร จากเนื้อสัตว์ตับ เลือด ไข่แดง ฯลฯ โดยจัดให้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาโลหิตจาง
โปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี
3. ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับพลังงานจากอาหารตามวัย (complementary foods)สำหรับเด็กทารก
1. ตัวทารกเอง ได้แก่ ความต้องการของทารกแต่ละวัย แต่ละคน ความเจ็บป่วย การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น สังกะสี มีผลต่อความอยากอาหารได้
2. ปัจจัยด้านอาหาร ได้แก่ ปริมาณอาหาร ความเข้มข้นของพลังงาน (energy density) จํานวนมื้อที่ป้อน ความหนืด (viscosity) ความหยาบละเอียด (texture) กลิ่น รสชาติ และความหลากหลายของอาหาร
3. ปัจจัยด้านการเลี้ยงดู ได้แก่ความสัมพันธ์ของผู้เลี้ยง กับเด็ก พฤตกิรรมและความ เอาใจใส่ในการป้อนอาหาร
อย่างไรก็ตามปริมาณอาหารนี้ได้มาจากการคํานวณจากทารกที่ได้รับนมแม่ ปริมาณปานกลาง (average breast milk intake) ดังนั้นถ้าทารกได้รับนมแม่ปริมาณมาก หรือน้อยกว่าค่าเฉลี่ย ปริมาณอาหารที่เด็กทารกควรได้รับจะเปลี่ยนไป คุณแม่จึงควรปรับปริมาณอาหารตามวัยให้สอดคล้องกับความหิวและอิ่มของทารก
4. ความเข้มข้นของพลังงาน (energy density) และจํานวนมื้อที่ป้อน
จํานวนมื้อของอาหารตามวัยขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของพลังงาน (energy density) และปริมาณอาหารที่เด็กทารกกินได้ในแต่ละมื้อ โดยเฉลี่ยเด็กทารกที่กินนมแม่ควรได้รับอาหารตามวัย
1-2 มื้อ เมื่ออายุ 6-8 เดือน และเพิ่มจํานวนมื้อเป็น
2-3 มื้อ เมื่ออายุ 9-11 เดือน และ 3 มื้อ เมื่ออายุ 12 เดือนขึ้นไป
ถ้าเด็กทารกได้รับอาหารตามวัยที่มีความเข้มข้นของพลังงานต่ำ หรือเด็กทารกกินอาหารแต่ละมื้อได้น้อยกว่าค่าเฉลี่ย คุณแม่ควรเพิ่มจํานวนมื้ออาหารแก่ลูก กระเพาะอาหารของทารกมีความจุอย่างน้อย 30 กรัม ต่อน้ําหนักตัว 1 กก. เพื่อให้ทารกได้รับพลังงานจากอาหารตามวัยสําหรับทารกเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยมีความจุของกระเพาะอาหารจํากัด
เด็กทารกอายุ 6-8 เดือน
ควรไดรับอาหารที่มีความเข้มข้นของพลังงาน 0.92 กิโลแคลอรี/กรัม
วันละ 1 มื้อ หรือ 0.46 กิโลแคลอรี/กรัม วันละ 2 มื้อ
เด็กทารกอายุ 9-11 เดือน
ควรได้รับอาหารที่มีความเข้มข้นของพลังงาน 0.61 กิโล แคลอรี/กรัม
วันละ 2 มื้อ หรือ 0.41 กิโลแคลอรี/กรัม วันละ 3 มื้อ
เด็กทารกอายุ 12-17 เดือน
ควรได้รับอาหารที่มีความเข้มข้นของพลังงาน 0.51 กิโลแคลอรี/กรัม
วันละ 3 มื้อ
เด็กทารกอายุ 18-23 เดือน
ควรได้รับอาหารที่มีความเข้มข้นของพลังงาน 0.56 กิโลแคลอรี/ กรัม
วันละ 3 มื้อ
การเพิ่มจํานวนมื้อของอาหารชช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่เด็กได้โดยเฉพาะถ้าอาหารที่ให้ มีความเข้มข้นของพลังงาน <1.03 กิโลแคลอรี/กรัมค่ะ
อ้างอิง : คู่มืออาหารตามวัยสําหรับทารกและเด็กเล็ก. สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 2552., และองค์ความรู้ด้านอาหารและโภชนาการสำหรับทุกช่วงวัย. คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ. มกราคม. 2559
Comments